ปักกิ่ง นครหลวงโบราณของจีน

 


ปักกิ่ง นครหลวงโบราณของจีน



เรื่อง : หลิวญ่าหมิน
ปีที่ 4 ฉบับที่ 50
เดือนธันวาคม 2534

 

     ปักกิ่ง นครหลวงอันเก่าแก่ของจีนแห่งนี้ ได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ อันเป็นประวัติศาสตร์ของประชาชาติ
จีนไว้มากมาย นับแต่แรกสร้างเมืองจวบจนพระจักรพรรดิปูยีเสด็จออกจากตำหนักไท่เหอ อันเป็นพัฒนาการ
ทางประวัติศาสตร์ของจีนซึ่งต้องก้าวสู่สังคมสมัยใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



จูตี้ จักพรรดิสมัยราชวงศ์หมิง
ได้มองเห็นความสำคัญของการบูรณะซ่อมแซมกำแพงเมืองจีน
เพื่อป้องกันการรุกรานของพวกอนารยชน


     ปี ค.ศ. 1402 จูตี้ (朱棣) พระโอรสองค์ที่ 4 ของจูหยวนจางซึ่งคุมกำลังพลอยู่ที่พรมแดนด้านเหนือ
ได้กรีฑาทัพลงใต้แย่งชิงราชบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวินซึ่งเป็นราชนัดดาของพระองค์เอง แล้วปราบดา
ภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ พระนามว่า ‘‘รัชกาลหย่งเล่อ’’ (永乐) ต่อมาในปีค.ศ.1421 ได้ทรงย้ายเมืองหลวง
จากนานกิง (หนานจิง 南京) ไปยังปักกิ่ง (เป่ยจิง 北京) ซึ่งเป็นเขตที่พระองค์เคยคุมกำลังตั้งมั่นอยู่ การ
ย้ายเมืองหลวงในครั้งนี้นับเป็นการย้ายเมืองหลวงจากทางใต้ขึ้นเหนือเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์จีน


พระราชวังโบราณ


      หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ถังแล้ว ปักกิ่งได้เคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ต่างๆ หลายราชวงศ์ ในศตวรรษ
ที่ 10 ถึงศตวรรษที่ 11 รัฐเหลียวซึ่งเป็นชนชาติซีตัน ได้บุกโจมตีรัฐต่างๆ เช่น โฮ่วถัง และโฮ่วจิ้นให้อยู่ใน
อำนาจ จากนั้นก็ตั้งปักกิ่งซึ่งเวลานั้นเรียกว่าเมืองเอียนจิง (燕京) เป็นเมืองหลวงที่สองของรัฐเหลียว

     ต่อมาในศตวรรษที่ 12 - 13 ชนชาติหนี่ว์เจินจากรัฐจินได้ทำการโค่นล้มราชวงศ์เหลียว และราชวงศ์ซ่ง
เหนือลงครอบครองดินแดนเกือบครึ่งหนึ่งทางภาคเหนือของจีน สถาปนาเมืองหลวงขึ้นที่ปักกิ่งเรียกว่าเมือง
จงตู (中都)

     ครั้นถึงศตวรรษที่ 13 - 14 พวกมองโกลได้ทำการรวบรวมจีนจนเป็นปึกแผ่น สถาปนาราชวงศ์หยวน
ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ปักกิ่ง เรียกว่าเมืองต้าตู (大都)

     หลังจากที่พวกแมนจูได้โค่นล้มราชวงศ์หมิงลง แล้วสถาปนาราชวงศ์ชิง ปักกิ่งก็ได้เป็นเมืองหลวงของ
ราชวงศ์ชิงจนกระทั่งราชวงศ์ชิงหมดอำนาจไปในศตวรรษที่ 20

     ที่กล่าวมานี้คือระยะเวลาในประวัติศาสตร์ที่บรรดาชนชาติส่วนน้อยได้ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศ
จีนถึง 4 ครั้งหลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ถัง แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีชนชาติส่วนน้อยขึ้นมามีบทบาทในการการ
ปกครองอยู่บ้างแต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ

     ในปีค.ศ. 750 อานลู่ซาน ซึ่งเป็นชาวชนชาติส่วนน้อย ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอยู่ที่ปักกิ่ง
ได้ร่วมมือกับสื่อซือหมิงตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ชื่อจักรพรรดิต้าเอียนและจักรพรรดิอิ้งเทียน ยึดเอาปักกิ่งเป็น
ฐานที่มั่นต่อต้านอำนาจรัฐบาลกลางของราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์ถังเสื่อมอำนาจ
ลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เป็นผลงานชิ้นสำคัญของนายพลทั้งสองก็คือชื่อของเมืองหลวงที่เขาได้ตั้งไว้คือ ‘‘ต้าตู’’
และ ‘‘เอียนจิง’’ ได้เป็นชื่อที่สำคัญอีกสองชื่อของปักกิ่ง

     ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของปักกิ่งก็คือ ปักกิ่งเป็นเมืองที่หล่อหลอมชนต่างเชื้อชาติให้กลมกลืนกัน
ได้เป็นอย่างดี ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันคำกล่าวนี้ยังคงปรากฏให้เห็น แม้ในปัจจุบัน ที่ชัดเจนที่สุด
ก็คือตรอกซอยใหญ่น้อยที่มีอยู่มากมายนับพันซอยกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง ซอยเหล่านี้เรียกว่า ‘‘หูถง’’
(胡同) ซึ่งมาจากภาษามองโกเลียว่า ‘‘ฮัวถง’’ อันเป็นตรอกซอยที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งได้นำ
เอารูปแบบการจัดตั้งกระโจมแบบมองโกลมาจัดผังเมืองปักกิ่ง ทว่าในปัจจุบันชาวปักกิ่งที่อาศัยอยู่ในหูถง
เหล่านี้แทนที่จะเป็นลูกหลานของเจงกิสข่านกลับกลายเป็นลูกหลานของแมนจูนี่เป็นตัวอย่างการผสมผสาน
กลมกลืนของชนต่างเชื้อชาติ



มีคำกล่าวว่า ‘‘ปักกิ่งมีซอยต่างๆ ที่มีชื่อถึง 990 ซอย ที่ไม่มีชื่ออีกนับไม่ถ้วน’’
นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน ชาวปักกิ่งพำนักอยู่ใน ‘‘ซื่อเหอย่วน’’
(บ้านชั้นเดียวที่ปลูกล้อมเป็นกำแพงทั้งสี่ทิศตรงกลางเป็นลาน)
ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในซอยเหล่านี้



     ในระยะเวลาร้อยกว่าปีที่มองโกลปกครองประเทศจีนอยู่นั้น พวกมองโกลไม่ได้รับเอาวัฒนธรรมของ
ชาวฮั่นไปเป็นของตน หลังจากที่ราชวงศ์หยวนถูกโค่นล้มลงแล้ว พวกมองโกลก็คืนสู่ท้องทุ่งทางเหนือ โดย
ที่ยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีของมองโกลไว้ได้เป็นอย่างดี แต่พวกแมนจูนั้นมีลักษณะตรงกันข้ามกับมองโกล
เพราะหลังจากที่แมนจูได้ล้มราชวงศ์หมิงตั้งราชวงศ์ชิง ก็ได้รับเอาปรัชญาความคิดของสำนักหยู (ลัทธิขงจื๊อ
เม่งจื๊อ) มาเป็นหลักในการปกครองประเทศ ทั้งยังไม่ถือว่าพวกตนเป็นผู้พิชิต หรือเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่กว่า
พวกแมนจูถือว่าประชาชนทั้งแผ่นดินต่างก็คือประชาชาติจีน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ คำสั่งที่ให้ผู้ชายชาวฮั่น
ไว้ผมยาวและถักเปียเช่นเดียวกับพวกแมนจู โดยมีการกำหนดโทษถึงตัดหัวหากผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งนี้ มีคำกล่าวว่า
‘‘ไม่ไว้หางเปียต้องถูกตัดหัว ไม่อยากถูกตัดหัวต้องไว้หางเปีย’’ ซึ่งอีกสองร้อยปีต่อมา กระแสการปฏิวัติ
ประชาธิปไตยเริ่มรุนแรงขึ้น ความคิดเรื่องการตัดหางเปียแพร่กระจายไปทั่ว ผู้ชายชาวฮั่นจำนวนมากเห็นว่า
หางเปียคือมรดกตกทอดที่บรรพบุรุษมอบให้ ฉะนั้น จึงควรรักษาเอาไว้ นอกจากนี้ชุดกี่เพ้าที่สตรีชาวแมนจู
สวมใส่นั้น ก็กลายเป็นเครื่องแต่งกายของสตรีจีนไปด้วย ทุกวันนี้ประเพณีนิยมต่างๆ ของชาวปักกิ่งก็ล้วนสืบ
เนื่องมาจากชนชาติแมนจูเป็นส่วนใหญ่


     ความสำคัญของกำแพงเมืองจีนเริ่มไม่มีความหมายทางด้านการทหารนับตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศ์ถัง
ในค.ศ. 936 สือจิ้งถัง ผู้บัญชาการทหารที่ประจำอยู่แถบกำแพงเมืองจีนได้แบ่งแยกดินแดนทั้งหมด 16
จังหวัดทางด้านตะวันออกของกำแพงเมืองจีนยกให้กับชนชาติส่วนน้อยชีตันซึ่งอยู่ทางเหนือของกำแพง
เมืองจีน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือด้านกำลังพลจากชีตัน การกระทำครั้งนี้ของสือจิ้งถังชี้ให้เห็นว่า
รัฐบาลกลางไม่สามารถที่จะพึ่งพากำแพงเมืองจีนเป็นแนวป้องกันได้อีกต่อไป ดังนั้นปักกิ่งจึงกลายเป็นเมือง
ศูนย์กลางที่มีชัยภูมิทางยุทธศาสตร์ดีเยี่ยม คือเป็นฐานที่มั่นสำคัญทางการทหารที่สามารถต้านทานกองกำลัง
ของพวกชนชาติส่วนน้อยทางเหนือได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหลังจากสมัยราชวงศ์ถังเป็นต้นมา ปักกิ่งจึงกลายเป็น
เมืองหลวงของราชวงศ์ต่างๆ มาโดยตลอด

     ในสมัยราชวงศ์เหลียวปักกิ่งยังคงเป็นเมืองหลวงขนาดเล็ก แต่ครั้นถึงสมัยราชวงศ์จินได้มีการสร้างอาคาร
สถานที่ต่างๆ มากมาย โดยเป็นการสร้างเมืองเลียนแบบเมืองเปี้ยนเหลียง (ปัจจุบันคือเมืองไคเฟิง) เมืองหลวง
ของราชวงศ์ซ่งเหนือ โดยใช้เวลาสร้างนานสามปี ใช้แรงงานประชาชนหนึ่งล้านคนทำงานทั้งวันทั้งคืน เมื่อสร้าง
เสร็จจึงได้ชื่อว่าเมือง ‘‘จงตู’’ ครั้นถึงศตวรรษที่ 13 เจงกิสข่านก็นำกำลังบุกเข้าโจมตีและเผาทำลายเมืองจงตู
เหลือแต่ซากปรักหักพัง วัตถุสถานที่เหลืออยู่อย่างสมบูรณ์มีเพียงสิงโตหินแกะสลักอย่างดี 485 ตัว ซึ่งตั้งอยู่
บนสะพานหลูโกวเฉียวทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจงตู เมื่อพวกมองโกลสถาปนาราชวงศ์หยวนก็ได้สร้าง
เมืองใหม่ซึ่งใหญ่โตกว่าเมืองจงตู ตั้งเป็นเมืองหลวงชื่อว่าเมือง ‘‘ต้าตู’’

สะพานหลูโกวเฉียว (สะพานมาร์โค โปโล)
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปักกิ่งสร้างในสมัยราชวงศ์จิน



     เมืองต้าตูใช้เวลาก่อสร้างนาน 23 ปี ตัวเมืองแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นพระราชวังและส่วนที่เป็น
ตัวเมือง ผังเมืองของต้าตูเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวโดยรอบ 60 กิโลเมตร มีประตูเมือง 11 แห่ง ถนน
ในเมืองตัดเป็นแนวตั้ง 9 สาย แนวนอน 9 สาย อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชนชาติฮั่น ในถนนแต่ละสาย
ยังมีตรอกซอยอีก 50 เขต ตัดเป็นตารางหมากรุก บรรดาตำหนักต่างๆ อันเป็นเขตพระราชฐานจะตั้งอยู่ที่ศูนย์
กลางของเมือง

     ต้าตูเป็นเมืองที่มีระเบียบและสวยงามอย่างยิ่ง ในระหว่างศตวรรษที่ 13 - 14 มาร์โค โปโลนักเดินทาง
ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิตาเลียนได้บันทึกไว้ว่า ‘‘ต้าตูเป็นนครที่มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบและเป็นนครที่สวยงาม
จนยากจะบรรยาย’’ ต้าตูจึงเป็นแบบฉบับแนวคิดในการสร้างเมืองหลวงซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการสืบทอดต่อมาใน
สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง

     หากมองจากภูเขาจิ่งซาน ซึ่งเป็นเขตที่สูงสุดของปักกิ่งก็จะเห็นทิวทัศน์ของเมืองที่เต็มไปด้วยหลังคา
กระเบื้องเคลือบของพระตำหนักต่างๆ เหลืองอร่าม ซึ่งพระตำหนักเหล่านี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของ
ราชวงศ์หมิง  ส่วนในสมัยราชวงศ์ชิงนั้นมักนิยมสร้างวัดวาอารามและอุทยาน ในสมัยนี้ได้มีการใช้ทรัพย์สิน
เป็นจำนวนมากเพื่อสร้างวัดยงเหอกง (วัดองค์ชายสี่) สร้างหอฟ้า หอดิน หอพระจันทร์และหอพระอาทิตย์ขึ้น
ที่ปักกิ่งเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ทั้งยังได้สร้างศาลเจ้าอีก 8 แห่งที่ชานเมืองเฉิงเต๋อ
สร้างอุทยานหยวนหมิงหยวน อุทยานอี๋เหอหยวนและอุทยานเป๋ยไห่

หอฟ้า เป็นสถานบวงสรวงในปักกิ่ง
ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าชัดเจนกว่าสถานที่อื่นๆ

 

อุทยานหยวนหมิงหยวนเมื่อ 130 ปีก่อน
ได้ถูกกองทัพผสมอังกฤษฝรั่งเศสวางเพลิงเผาทำลายจนหมดสิ้น

 

อุทยานอี๋เหอหยวนอันเป็นสถานพักผ่อนของพระจักรพรรดิ
ซึ่งมีความงดงามของภูเขาวั่นโส้วซาน และทะเลสาบคุณหมิงหู
ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของปักกิ่ง

 

อุทยานเป๋ยไห่ซึ่งมีทัศนียภาพอันงดงามสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์เหลียว
ซึ่งต่อมาราชวงศ์จิน หยวนและชิงได้สร้างเพิ่มเติมเรื่อยมา


     จากการที่ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงมานานถึงเกือบ 600 ปี นับแต่สมัยราชวงศ์หยวน บรรดาราชวงศ์ต่างๆ
ได้สร้างสรรค์เมืองปักกิ่งเรื่อยมา ทำให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงที่ได้รวมเอาเอกลักษณ์ของเมืองหลวงโบราณไม่
ว่าจะเป็นซีอาน ลั่วหยาง ไคเฟิง นานกิง และหางโจวเข้าไว้ด้วยกัน

     อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ต่างๆที่ปกครองจีนเมื่อเจริญถึงขีดสุดแล้วก็เสื่อมโทรมล่มสลายจนกระทั่งต่างชาติ
เข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการเมืองของจีน การรุกรานของต่างชาตินับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พัฒนาการ
ทางประวัติศาสตร์ของจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

     ปักกิ่ง นครหลวงอันเก่าแก่ของจีนแห่งนี้ ได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ อันเป็นประวัติศาสตร์ของประชาชาติจีน
ไว้มากมาย นับแต่แรกสร้างเมืองจวบจนพระจักรพรรดิปูยีเสด็จออกจากตำหนักไท่เหอ อันเป็นพัฒนาการทาง
ประวัติศาสตร์ของจีนซึ่งต้องก้าวสู่สังคมสมัยใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


พิมพ์   อีเมล